กลุ่มดาวราศีเมษ
ที่มาตามตำนานเทพนิยายกรีก
กลุ่มดาวราศีเมษ หรือ กลุ่มดาวแกะ เป็นกลุ่มดาวแรกในกลุ่มดาว 12 ราศี ตามตำนานในเทพนิยายกรีก กลุ่มดาวแกะแทนแกะที่มีขนทองคำที่แจสัน ( Jason ) เดินทางโดยเรือของกษัตริย์อาร์โก ( Argonauts ) เพื่อไปแข่งขนแกะทองคำดังกล่าวที่เมืองคอลคีส ( Colchis ) เมื่อประมาณ 2,000 กว่าปีมาแล้ว จุดเวอร์นอล อิควินอกซ์ อยู่ในกลุ่มดาวแกะนี้ จึงเรียกจุดเวอร์นอล อิควินอกซ์ ว่า “ จุดแรกของราศีเมษ ( First Point of Aries ) “ แต่เนื่องจากการส่ายของแกนหมุนของโลก จุดดังกล่าวได้เลื่อนมาอยู่ในราศีมีนในปัจจุบันรายละเอียดในกลุ่มดาว
กลุ่มดาวราศีเมษอยู่ทางด้านตะวันตกของกลุ่มดาวราศีพฤษภ ซึ่งเป็นกลุ่มดาวที่สังเกตได้ง่ายบนท้องฟ้า แม้ดาวสมาชิกของกลุ่มดาวราศีเมษจะไม่สว่างมากนักแต่ก็สังเกตได้ไม่ยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ดาวฤกษ์ 3 ดวง a b และ g ซึ่งประกอบเป็น " หัวแกะ " ดาวฤกษ์ดวงที่สว่างที่สุดในกลุ่มดาวราศีเมษ ได้แก่ ดาวฮามัล ( Hamal ) หรือดาวอัลฟา แอรี (a- Ari ) ชื่อฮามัลเป็นภาษาอาหรับมีความหมายว่า " แกะ " ดาวดวงนี้มีค่าแมกนิจูด 2.0 มีสีเหลือง ในวันที่ 22 ตุลาคม ดาวดวงนี้จะอยู่บนเส้นเมอริเดียนในราวตอนเที่ยงคืน ดาวฤกษ์ดวงที่สว่างรองลงมาเป็นอันดับ 2 ได้แก่ ดาวเชอราตัน ( Sheratan ) หรือ ดาวบีต้า แอรี (b- Ari ) ชื่อ เชอราตัน เป็นภาษาอาหรับ มีความหมายว่า “ เครื่องหมาย “ ดาวดวงนี้มีค่าแมกนิจูด 2.6 มีสีขาว และใช้เชื่อมโยงไปยังดาวเมซาติม ( Mesarthim ) หรือดาวแกมมา แอรี (g- Ari ) ชื่อเมซาติมเป็นอาหรับ แปลว่า " แกะอ้วน " ดาวฤกษ์ที่กล่าวถึงเหล่านี้เคยใช้เป็นหมายบอกตำแหน่งของจุดเวอร์นอล อิควินอกซ์ ซึ่งเมื่อประมาณ 300-400 ปีก่อนคริสตศักราช อยู่ ณ บริเวณนี้พอดี ห่างออกมาใกล้เส้นสุริยะวิถี ยังมีดาวแมกนิจูด 5 ที่พอมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าในกลุ่มดาวราศีเมษอีกดวงหนึ่งคือ ดาวโบทีน ( Botein ) หรือดาวเดลตา แอรี (d- Ari ) อยู่ไม่ห่างจากกระจุกดาวลูกไก่มากนัก
กลุ่มดาวราศีพฤษภ
ที่มาตามตำนานเทพนิยายกรีก
กลุ่มดาวราศีพฤษภ หรือกลุ่มดาววัว เป็นกลุ่มดาวกลุ่มที่ 2 ในกลุ่มดาว 12 ราศี ตามตำนานในเทพนิยายกรีก กลุ่มดาววัว แทน วัว ซึ่งเป็นร่างแปลงของเทพซิอุส ( Zeus ) หรือเทพจูปีเตอร์ ( Jupiter ) ที่พยายามลักพาตัวเจ้าหญิงยูโรปา ( Europa )รายละเอียดในกลุ่มดาว
ลักษณะของกลุ่มดาววัวตามจินตนาการเป็นครึ่งหน้าของตัววัว จุดเด่นของกลุ่มดาววัว คือ ดาวอัลดีบาแรน ( Aldebaran ) หรือดาวอัลฟาทอรี (a - Tau ) เป็นส่วนของ " ตาวัว " ดาวดวงนี้ เป็นดาวนักษัตร ชื่อว่า " ดาวโรหิณี " เป็นดาวยักษ์แดงที่มีขนาดใหญ่ มีสีค่อนไปทางแดง มีค่าแมกนิจูด 0.85 และมีความสว่างเป็นอันดับที่ 13 บนท้องฟ้า มองเห็นได้ง่าย โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาว เป็นส่วนของหน้าวัว ซึ่งมีลักษณะเป็นรูปตัววี ( V – shape ) บริเวณนี้มีกระจุกดาวที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า เป็นกระจุกดาวเปิดที่มีชื่อว่า กระจุกดาวฮายเอเดส ( Hyades ) ที่มีสมาชิกดาวฤกษ์ประมาณ 200 ดวง ถ้าส่องดูด้วยกล้องสองตาจะมีความงดงามมาก ความหมายของดาวอัลดีบาแรน แปลว่า " ผู้ตาม ( the follower ) " เนื่องจากจะตามกระจุกดาวฮายเอเดสอยู่เสมอ ดาวอัลดีบาแรน จัดเป็นดาว 1 ใน 4 ของดาวหลวง ( Royal Star ) ที่มีการสังเกตการณ์ในยุคโบราณสมัยเมโสโปเตเมีย ( Mesopotamia ) ส่วนดาวหลวงอีก 3 ดวง มีดาวเรกิวลัส ( Regulus ) ดาวแอนทารีส ( Antares ) และดาวโฟมาลโฮลท์ ( Fomalhaut )
บริเวณปลาย " เขาวัว ( Horns ) " มีดาวสำคัญ 2 ดวง ดาวดวงหนึ่งคือ ดาวเอลแนท ( Elnalt ) หรือดาวบีตา ทอรี (b- Tau ) เป็นดาวที่มีค่าแมกนิจูด 1.65 มีสีน้ำเงินขาว บางครั้งเรียกว่า ดาวเอลแนท ( Elnalt ) เป็นภาษาอาหรับ แปลว่า " ขวิด " ดาวดวงนี้เคยถูกจัดเป็นดาวแกมมา (g - star ) ในกลุ่มดาวสารถี แต่การแบ่งทางดาราศาสตร์ในปัจจุบันจัดให้อยู่ในกลุ่มดาวราศีพฤษภ ดาวอีกดวงหนึ่งคือ ดาวซีตา ทอรี ( z - Tau ) ถือว่าเป็นเขาวัวที่อยู่ด้านใต้ เป็นดาวมีค่าแมกนิจูด 3 บริเวณ ซีตา ทอรี มีวัตถุท้องฟ้าที่น่าสนใจคือ " เนบิวลาปู ( Crab nebula ) " อยู่ห่างออกมาประมาณ 1 องศาทางด้านตะวันตกเฉียงเหนือของดาวซีตาทอรี เนบิวลาปูเป็นซากของดาวระเบิด ( Supernovae Remnants ) ที่สังเกตเห็นเมื่อ ค.ศ. 1054 โดยชาวจีน และมีการบันทึกไว้ว่า หลังการระเบิดใหม่ ๆ มองเห็น สว่างบนท้องฟ้าเป็นเวลาหลายเดือน หลังจากนั้นแสงเริ่มหรี่ลงจนในปัจจุบันมีลักษณะเป็นเส้นสายของก๊าซจาง ๆ ปรากฏบนท้องฟ้า มีรูปร่างคล้ายปู แต่สังเกตได้ยากแม้ส่องด้วยกล้องดูดาวก็ตาม เนบิวลาปูมีระยะห่างจากโลกประมาณ 6,500 ปีแสง
บริเวณส่วนที่เป็นตัววัว มีกระจุกดาวเปิดที่สวยงามมากและมองและมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ได้แก่ กระจุกดาวลูกไก่ ( Pleiades ) ประกอบด้วยสมาชิกเป็นดาวฤกษ์ประมาณ 3,000 ดวง แต่มองเห็นด้วยตาเปล่าเพียง 6 ดวง กระจุกดาวลูกไก่อยู่ห่างจากโลกประมาณ 390 ปีแสง
ดวงอาทิตย์จะโคจรผ่านกลุ่มดาวราศีพฤษภ ระหว่างวันที่ 14 พฤษภาคม ถึง 21 มิถุนายน และกลุ่มดาวนี้สามารถมองเห็นได้ดีในช่องฤดูหนาว โดยในราวปลายเดือนพฤศจิกายน และต้นเดือนธันวาคมจะปรากฏกลางท้องฟ้าในราวเที่ยงคืน
กลุ่มดาวราศีมิถุน
ที่มาตามตำนานเทพนิยายกรีก
กลุ่มดาวราศีมิถุน หรือกลุ่มดาวคนคู่ เป็นกลุ่มดาวที่ 3 ในกลุ่มดาว 12 ราศี กลุ่มดาวนี้ มีดาวฤกษ์ที่สว่างที่สังเกตได้ง่าย 2 ดวง คือ ดาวแคสเตอร์ ( Caster ) และดาวพอลลักซ์ ( Pollux ) ตามเทพนิยายกรีก ดาวแคสเตอร์และดาวพอลลักซ์เป็นฝาแฝด ทั้งคู่เป็นโอรสของเทพซิอุส และราชนีลีดา ( Leda ) แห่งสปาร์ตา ( Sparta ) แคสเตอร์เป็นผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับม้า พอลลักซ์เชี่ยวชาญเกี่ยวกับมวย ชาวโรมันถือว่าดาวฤกษ์ทั้ง 2 ดวง เป็นสัญลักษณ์แห่งชัยชนะ ชาวเรือถือว่าเป็นเทพเจ้าที่ช่วยให้พ้นภัยทะเลรายละเอียดในกลุ่มดาว
ดาวแคสเตอร์ และดาวพอลลักซ์ มีตำแหน่งอยู่บริเวณขอบของทางช้างเผือกและกลุ่มดาวราศีมิถุนมีกระจุกดาวเปิด ขนาดใหญ่มองเห็นได้สวยงามเมื่อส่องด้วยกล้องสองตา ได้ แก่ กระจุกดาว M 35 ( NGC 2168 ) นอกจากนี้ยังมีเนบิวลาที่สวยงาม แต่แสงจางมากกว่า คือ มีแมกนีจูด 8 ได้แก่ NGC 2392 เป็นเนบิวลาดาวเคราะห์ ( Planetary Nebula ) มีชื่อเรียกทั่วไปว่า " เนบิวลาแอสกิโท ( Eskimo Nebula ) "
ดาวแคสเตอร์เป็นดาวฤกษ์แมกนิจูด 2 รู้จักกันอีกชื่อเรียกว่า ดาวอัลฟา เจมินอรัม ( Alpha Geminorum ) จากการวิเคราะห์พบว่า ดาวแคสเตอร์เป็นระบบดาวพหุ ( Multiple Star System ) โดยสมาชิกอีกดวงหนึ่งเป็น ดาวแคระที่มีอุณหภูมิสูง โคจรรอบดาวหลักรอบละประมาณ 500 ปี และแสดงคุณสมบัติดาวคู่แบบสเปกโทรสโคปี นอกจากนี้ยังมีสมาชิกดวงที่ 3 ซึ่งมีแมกนิจูด 9 ภายหลังพบว่าสมาชิกดวงที่ 3 นี้ ยังเป็นระบบดาวคู่อุปราคาอีกด้วย สมาชิกดวงที่ 3 นี้รู้จักกันในนาม ดาว วาย วาย เจมินอรัม ( YY Geminorum ) ดาวแคสเตอร์อยู่ห่างจากเรา 15 พาร์เซค และมีความสว่างมากกว่าดวงอาทิตย์ประมาณ 50 เท่า ส่วนดาวพอลลักซ์ เป็นดาวฤกษ์แมกนิจูด 1 รู้จักกันอีกชื่อหนึ่งว่า ดาวบีตา เจมินอรัม ( Beta Geminorum ) เป็นดาวยักษ์แดงอยู่ห่างจากเรา 12 พาร์เซค และมีความสว่างมากกว่าดวงอาทิตย์ประมาณ 40 เท่า
นอกจากดาวฤกษ์ 2 ดวงหลักดังกล่าวมาแล้ว ยังมีดาวที่น่าสนใจบริเวณใกล้เส้นสุริยวิถีอีก 2 ดวง คือ ดาวเมบซูตา ( Mebsuta ) และดาววาแซท ( Wasat ) ส่วน ดาวโพรปุส ( Propus ) เป็นดาวฤกษ์ในกลุ่มดาวราศีมิถุนที่อยู่ใกล้จุดโซสตีสฤดูร้อน ( Summer Solstice ) มากที่สุด
ดวงอาทิตย์จะโคจรผ่านกลุ่มดาวราศีมิถุน ระหว่างวันที่ 21 มิถุนายน ถึง 21 กรกฎาคม โดยราววันที่ 22 มิถุนายน ดวงอาทิตย์จะอยู่ตรงจุดโซสตีสฤดูร้อน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ช่วงเวลากลางวันทางซีกโลกเหนือยาวที่สุด
กลุ่มดาวราศีกรกฏ
ที่มาตามตำนานเทพนิยายกรีก
กลุ่มดาวราศีกรกฎ หรือกลุ่มดาวปู เป็นกลุ่มดาวที่ 4 ในกลุ่มดาว 12 ราศี ตามเทพนิยายกรีก ปูเป็นสัตว์ที่ เทพจูโน เสกขึ้นมาเพื่อให้ไปทำร้าย เฮอร์คิวลีส (Hercules) ในระหว่างที่ เฮอร์คิวลีส กำลังต่อสู้อยู่กับงูยักษ์ (Hydra)รายละเอียดในกลุ่มดาว
กลุ่มดาวราศีกรกฎ เป็นกลุ่มดาวขนาดเล็กที่มองเห็นได้ยาก และไม่โดดเด่นเหมือนกลุ่มดาวในจักราศีอื่น ๆ กลุ่มดาวนี้ประกอบด้วยดาวฤกษ์ แมกนิจูด 4-5 อยู่ 4 ดวง ในกลุ่มดาวมีกระจุกดาวเปิดที่น่าสนใจ และมองเห็นได้ง่ายแม้ใช้กล้องดูดาวขนาดเล็ก ได้แก่ กระจุกดาวรวงผึ้ง (Beehive Cluster) หรือเอ็ม 44 (M44) กระจุกดาวนี้ประกอบด้วยสมาชิกประมาณ 350 ดวง และมีแมกนิจูด 6 อยู่บริเวณเส้นสุริยวิถีพอดี
ดวงอาทิตย์จะโคจรผ่านกลุ่มดาวราศีกรกฎ ระหว่างช่วงปลายเดือนกรกฎาคมถึงต้นสิงหาคม ในอดีตเมื่อประมาณ 2,000 ปีก่อน ดวงอาทิตย์จะปรากฎค่อนไปทางเหนือมากที่สุด ในวันที่ 22 มิถุนายน ที่บริเวณกลุ่มดาวราศีกรกฎนี้ (ไม่ใช่บริเวณราศีมิถุนเช่นในปัจจุบัน) จึงเรียกตำแหน่งบนโลกที่ดวงอาทิตย์ตรงศรีษะในช่วงวันดังกล่าวว่า " ทรอปิก ออฟแคนเซอร์ (Tropic of Cancer) "
กลุ่มดาวราศีสิงห์
ที่มาตามตำนานเทพนิยายกรีก
กลุ่มดาวราศีสิงห์ หรือกลุ่มดาวสิงโต เป็นกลุ่มดาวกลุ่มที่ 5 ในกลุ่มดาว 12 ราศี เป็นกลุ่มดาวที่ปรากฎอยู่บริเวณกลางท้องฟ้า ในช่วงปลายเดือนมิถุนายนหรือช่วงเข้าสู่ฤดูร้อนของประเทศในแถบอบอุ่นเหนือ ตามเทพนิยายกรีก กล่าวว่าเฮอร์คิวลีสต้องปฏิบัติภารกิจในการปราบสิงโต เป็นภารกิจแรก ในจำนวน 12 ภารกิจที่เขาต้องคำสาปจากเทพเจ้า ชาวอียิปต์โบราณบูชากลุ่มดาวนี้ เพราะช่วงที่ดวงอาทิตย์ย้ายเข้ามาสู่กลุ่มดาวราศีสิงห์ จะเป็นช่วงที่เกิดอุทกภัยแถบลุ่มแม่น้ำไนล์ (Nile River)รายละเอียดในกลุ่มดาว
กลุ่มดาวราศีสิงห์ มีรูปร่างปรากฎคล้ายเคียวเกี่ยวข้าว (Sickle-shape) ซึ่งเป็นบริเวณส่วนหัวและส่วนอกของสิงโต บริเวณหัวใจสิงโตเป็นดาวฤกษ์ที่สว่างที่สุดในกลุ่มดาวนี้ มีแมกนิจูด 1 ชื่อดาวเรกิวลัส (Regulus) หรือดาวหัวใจสิงห์เป็นดาวในกลุ่มดาวนักษัตร ที่เรียกว่า “มาฆะฤกษ์” ส่วนดาวสว่างที่อยู่บริเวณหางสิงโตได้แก่ ดาวดีเนปโบลา (Denebola) อีกดวงหนึ่งได้แก่ ดาวแกมมา ลีโอนิส (Gamma Leonis) หรือดาวแอลจิบา (Algieba) ซึ่งเป็นดาวคู่สีเหลือง 2 ดวงที่มีแมกนิจูด 2 และแมกนิจูด 3 ตามลำดับ นับว่าเป็นดาวคู่ที่สวยงามระบบหนึ่งบนท้องฟ้า กลุ่มดาวราศีสิงห์ มีกาแลกซี 4 กาแลกซี ที่สามารถมองเห็นได้ด้วยกล้องดูดาวขนาดเล็ก ในช่วงทัศนวิสัยดี ได้แก่ M65 (NGC 3623), M66 (NGC 3627), M95 (NGC 3351) และ M96 (NGC 3368)
กลุ่มดาวราศีกันย์
ที่มาตามตำนานเทพนิยายกรีก
กลุ่มดาวราศีกันย์หรือ กลุ่มดาวหญิงสาว เป็นกลุ่มดาวกลุ่มที่ 6 ในกลุ่มดาว 12 ราศี เป็นกลุ่มดาวที่ใหญ่เป็นลำดับที่ 2 ในกลุ่มดาวจักราศี ตามคำทายในเทพนิยายกรีก กลุ่มดาวนี้แทนเทพีแอสเตรีย (Astrea) ซึ่งเป็นเทพธิดาแห่งความยุติธรรม ในเทพนิยายอียิปต์ กลุ่มดาวนี้แทนเทพี ไอซีส (Isis) ที่ต่อสู้กับยักษ์ร้ายด้วยรวงข้าว ระหว่างต่อสู่เมล็ดข้าวแตกกระจัดกระจายเป็นทางสีขาวบนท้องฟ้า ซึ่งก็คือ “ ทางช้างเผือก ” นั่นเองรายละเอียดในกลุ่มดาว
ดาวฤกษ์ดวงที่สว่างที่สุดในกลุ่มดาวราศีกันย์ได้แก่ ดาวสไปกา (Spica) ซึ่งเป็น 1 ในกลุ่มดาวนักษัตร ชื่อ “ จิตราฤกษ์ ” เป็นดาวที่มีค่าแมกนิจูด 0.91 สีน้ำเงิน อยู่ห่างจากโลกประมาณ 190 ปีแสง ดาวฤกษ์ที่น่าสนในอีกดวงหนึ่งในกลุ่มดาวราศีกันย์ได้แก่ ดาวแกมมา เวอร์จีนิส (Gamma Virginis) หรือดาวพอริมา (Porrima) เป็นระบบดาวคู่ที่สมาชิกทั้ง 2 ดวงเป็นดาวสีเหลือง ที่โคจรจะรอบกันคาบละ 171 ปี ห่างจากดาวแกมมาเวอร์จินีส ประมาณ 5องศา มีวัตถุกึ่งดาว (Quasi-stellar Object) หรือ ควาซาร์ (Quasar) ดวงที่สว่างที่สุดได้แก่ ควาซาร์ 3C273 มีค่าแมกนิจูด 13 อยู่ห่างจากโลกประมาณ 3 พันล้านปีแสง นอกจากนี้วัตถุท้องฟ้าที่น่าสนใจในกลุ่มดาวนี้ อีกอย่างหนึ่งได้แก่ กระจุกกาแลกซีในกลุ่มดาวราศีกันย์ (Virgo Cluster of Galaxies) ซึ่งเมื่อส่องดูด้วยกล้องดูดาวขนาดปานกลาง จะสามารถมองเห็นกาแลกซีได้หลายสิบกาแลกซี ตัวอย่างเช่น กาแลกซีทรงรี ได้แก่ M84, M86 กาแลกซีกังหัน ได้แก่ M90, M104 เป็นต้น
กลุ่มดาวราศีกันย์ นับว่าเป็นกลุ่มดาวที่มีความสำคัญ เนื่องจากอยู่บริเวณจุดออกทัมนอล อิควินอกซ์ (Autumnal Equinox) พอดีซึ่งดวงอาทิตย์จะอยู่ ณ จุดดังกล่าวนี้ ในวันที่ 23 กันยายน ซึ่งเป็นเวลาที่ประเทศในเขตอบอุ่นเหนือเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง ดวงอาทิตย์จะโคจรอยู่ในราศีกันย์ ระหว่างกลางเดือนกันยายนถึงต้นเดือนพฤศจิกายน
กลุ่มดาวราศีตุล
ที่มาตามตำนานเทพนิยายกรีก
กลุ่มดาวราศีตุล หรือกลุ่มดาวคันชั่ง เป็นกลุ่มดาวกลุ่มที่ 7 ในกลุ่มดาว 12 ราศี สามารถสังเกตเห็นได้ง่าย มีรูปร่างปรากฎคล้ายสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน อยู่ทางตะวันตกของกลุ่มดาวแมงป่อง ชาวกรีกโบราณเคยเรียกดาวเหล่านี้ว่าเป็นก้ามของแมงป่อง เมื่อประมาณ 2,000 ปีก่อน ดวงอาทิตย์โคจรเข้ามาอยู่ในกลุ่มดาวราศีตุล ในวันที่ 23 กันยายน ณ จุดออทัมนอล อิควินอกซ์ ที่เวลากลางวันเท่ากับกลางคืน กลุ่มดาวนี้จึงแทนความเสมอภาคหรือความเท่ากันบนท้องฟ้า กลุ่มดาวราศีตุลเป็นกลุ่มดาวเดียวในจักราศี ที่จินตนาการรูปลักษณ์เป็น “ สิ่งของ ”รายละเอียดในกลุ่มดาว
กลุ่มดาวราศีตุลมีดาวฤกษ์ที่น่าสนใจ 2 ดวงคือ ดาวอัลฟา ลิบรา (Alpha Librae) หรือดาวซูเบนเอลจีนูบี (Zubenelgenubi) ซึ่งเป็นภาษาอาหรับมีความหมายว่า “ ก้ามขวาของแมงป่อง ” ดาวดวงนี้มีแมกนิจูด 2.7 เป็น 1 ในกลุ่ม ดาวนักษัตร ที่เรียกว่า “สวาตีฤกษ์” ส่วนดาวฤกษ์อีกดวงหนึ่งได้แก่ ดาวบีตา ลิบรา (Beta Librae) หรือดาวซูเบนเอชามาลี (Zubeneschamali) ซึ่งเป็นภาษาอาหรับมีความหมายว่า “ ก้ามซ้ายของแมงป่อง ”
ดวงอาทิตย์จะโคจรผ่านกลุ่มดาวราศีตุล ระหว่างช่วงต้นเดือนพฤศจิกายนถึงปลายเดือนพฤศจิกายน
กลุ่มดาวราศีพฤศจิก
ที่มาตามตำนานเทพนิยายกรีก
กลุ่มดาวราศีพฤศจิกหรือกลุ่มดาวแมงป่อง เป็นกลุ่มดาวกลุ่มที่ 3 เหมือนแมงป่อง โดยเฉพาะส่วนหาง ตามตำนานในเทพนิยายกรีก แมงป่องเป็นแมงป่องยักษ์ที่เสกขึ้นมาโดยเทพีจูโน ให้ไปต่อยนายพรานโอไรออนจนถึงแก่ความตายรายละเอียดในกลุ่มดาว
ดาวฤกษ์ดวงที่สว่างที่สุดในกลุ่มดาวราศีพฤศจิกได้แก่ ดาวอัลฟา สคอปิไอ (Alpha Scorpii) หรือดาวแอนทารีส (Antares) ถือเป็นส่วนที่เป็น “ หัวใจแมงป่อง ” ชาวไทยรู้จักกันในนามของดาวปาริชาต เป็นดาวยักษ์แดง คาดว่ามีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางใหญ่ถึง 600 ล้านกิโลเมตร มีสีแดงสด สำหรับ ดาวบีตา สคอปิไอ (Beta Scorpii) หรือดาวกราฟฟิแอส (Graffias) อยู่บริเวณส่วนหัวของแมงป่อง เมื่อมองด้วยกล้องดูดาวจะเห็นเป็นดาวคู่ ที่มีค่าแมกนิจูด 3 และ 5 ตามลำดับ ใกล้บริเวณดาวดวงนี้ มีแหล่งวัตถุท้องฟ้าที่ปล่อยรังสีเอกซ์ที่เข้มข้นออกมาเรียก “แมงป่อง เอกซ์ – 1 (Scorpius X-1)”ดาวฤกษ์ที่ส่ว่างอีกดวงหนึ่งที่อยู่บริเวณปลายหางของแมงป่อง ได้แก่ ดาวชวลา (Shaula) ซึ่งแปลว่า “ เหล็กไห ”
ในกลุ่มดาวราศีพฤศจิกยังมีดาวคู่ ที่เห็นได้ด้วยตาเปล่า อีก 3 ระบบได้แก่ ดาวโอเมกา (Omega) มิว (Mu) และ เซตา (Zeta) สคอปิไอตามลำดับ สำหรับดาวหู (Nu) สคอปิไอ เป็นระบบดาวสี่ดวง (Quadruple star) คล้ายกับดาวในกลุ่มดาวพิณ (Lyra) นอกจากนี้ยังพบกระจุกดาวทรงกลมขนาดใหญ่ ได้แก่ M4(NGC 6121) ซึ่งเป็นกระจุกดาวที่ใกล้เราที่สุดกระจุกดาวหนึ่ง โดยมีระยะทางอยู่ห่างจากโลกประมาณ 7,000 ปีแสงเท่านั้น บริเวณปลายหางของกลุ่มดาวแมงป่องจะอยู่ในทางช้างเผือก ซึ่งบริเวณนี้จะมีกระจุกดาวเปิดได้แก่ M7(NGC 6475) และ M6 (NGC 6405) ส่วน NGC 6231 ได้ชื่อว่าเป็น “ กระจุกดาวลูกไก่ขนาดจิ๋ว (Mini-Pleiades) ”
ดาวฤกษ์ 3 ดวงที่อยู่บริเวณหัวแมงป่อง เป็นกลุ่มดาว 1 ในกลุ่มดาวนักษัตรที่เรียกว่า “ วิศาขฤกษ์ ” วันวิสาขบูชา (วันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6) ดวงจันทร์จะสว่างเต็มดวงบริเวณใกล้ ๆ กลุ่มดาววิสาขฤกษ์นี้ กลุ่มดาวราศีพฤศจิกอยู่ใต้เส้นสุริยวิถีลงไปมาก ดังนั้นดาวโคจรของดวงอาทิตย์ผ่านกลุ่มดาวนี้จึงสั้นมาก เพียง 7 วันเท่านั้น กล่าวคือ ระหว่างวันที่ 23-30 พฤศจิกายน
กลุ่มดาวราศีธนู
ที่มาตามตำนานเทพนิยายกรีก
กลุ่มดาวราศีธนู หรือกลุ่มดาวคนยิงธนู เป็นกลุ่มดาวกลุ่มที่ 9 ในกลุ่มดาว 12 ราศี จุดเด่นของกลุ่มดาวราศีธนู ก็คือ เป็นกลุ่มดาวที่มีศูนย์กลางของกาแลกซีทางช้างเผือกอยู่ ดังนั้นบริเวณกลุ่มดาวราศีธนูจึงมีดาวที่เป็นพื้นหลังเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อส่องด้วยกล้องดูดาว กลุ่มดาวนี้ดูได้ง่ายและสวยงาม มีลักษณะคล้าย “ ป้านน้ำชา (Teapot) ” ตามเทพนิยายกรีก กลุ่มดาวราศีธนูแทนคนครึ่งม้า (Centaur) ที่มีชื่อเรียกว่า “ชีรอน (Chiron) ” ซึ่งถือว่าเป็นผู้ทรงปัญญาสูง มีคุณวุฒิ มีศิษย์มากมายรายละเอียดในกลุ่มดาว
กลุ่มดาวราศีธนู มีดาวฤกษ์ที่ไม่สว่างมากนัก แต่สังเกตเห็นได้ง่าย ดาวฤกษ์ที่สำคัญมี ดาว 3 ดวง บริเวณฝากาน้ำชาที่เป็นรูปสามเหลี่ยม มีดาวที่น่าสนใจ คือ ดาวเคอุส บอรีอาลีส (Kaus Borealis) เป็นดาวตรงยอดฝากา ดาวดวงนี้อยู่ใกล้กับเส้นสุริยวิถีมาก ดวงอาทิตย์จะโคจรผ่านดาวดวงนี้ในวันที่ 24 ธันวาคม ส่วนที่เป็นพวยกา มีดาวฤกษ์ชื่อ “ อัลแนสิ (El Nasi) ” ปรากฎอยู่ ส่วนใต้ฝากาน้ำชา เป็นตัวกาน้ำชาเป็นรูปสี่เหลี่ยมคางหมูมีฐานกาน้ำชาเป็นดาวฤกษ์ 2 ดวงคือ ดาวเคอุส ออสตราลีส (Kaus Australis) และดาวอัสเซลลา (Ascella)
บริเวณกลุ่มดาวราศีธนู ยังมีวัตถุท้องฟ้าที่น่าสนใจอีกมากมาย ตัวอย่างเช่น กระจุกดาวทรงกลม M22 (NGC 6656) และกระจุกดาวเปิด M23 (NGC 6494) เป็นกระจุกดาวที่สวยงามมากมองเห็นได้ด้วยกล้อง 2 ตา นอกจากนี้ยังมีเนมิวลาที่สวยงามปรากฎอยู่ในกลุ่มดาวนี้ได้แก่ เนบิวลาทะเลสาป (Lagoon Nebula) เนบิวลาโอเมกา (Omega Nebula) หรือเนบิวลาหงส์ (Swan Nebula) และเนบิวลาไตรฟิด (Trifid Nebula) ดวงอาทิตย์จะโคจรผ่านกลุ่มดาวนี้ ในราววันที่ 19 ธันวาคม ถึงวันที่ 19 มกราคม
กลุ่มดาวราศีมกร
ที่มาตามตำนานเทพนิยายกรีก
กลุ่มดาวราศีมกร หรือกลุ่มดาวแพะทะเล เป็นกลุ่มดาวกลุ่มที่ 10 ในกลุ่มดาว 12 ราศี กลุ่มดาวนี้ส่วนใหญ่อยู่ทางด้านใต้ของเส้นสุริยะวิถี กลุ่มดาวนี้ไม่ค่อยมีดาวสว่างจึงสังเกตได้ไม่ง่ายนัก ตามตำนานในเทพนิยายกรีก แพะทะเลเป็นร่างแปลงของเทพเจ้าแพน (Pan) เมื่อเผชิญกับอสูรร้ายจึงกระโดดลงไปในแม่น้ำไนล์ แล้วแปลงร่างเป็นปลา แต่ส่วนท่องบนยังคงเป็นแพะเพื่อคอยสังเกตดูเหตุการณ์ต่าง ๆ ตามตำนานอียิปต์โบราณ ถือว่ากลุ่มดาวราศีมักร แทนเทพเจ้าแห่งน้ำ ซึ่งสามารถบันดาลให้เกิดเหตุการณ์ต่าง ๆ เกี่ยวกับน้ำบนโลกรายละเอียดในกลุ่มดาว
กลุ่มดาวราศีมกร มีดาวฤกษ์ที่สว่างที่สุด คือ ดาวอัลฟา แคปริคอร์น (Alpha Capricorn) ที่มีชื่อสามัญว่า อัลจีดี (Algedi) หรือ กีอีดี (Giedi) โดยคำทั้งสองเป็นภาษาอาหรับแปลว่า “เด็ก” ดาวดวงนี้แท้จริงเป็นระบบดาวคู่ที่มีแมกพิจูด 4 สามารถมองเห็นแยกกันด้วยตาเปล่าหรือกล้องสองตา ดาวดวงนี้เป็นส่วนของ “ หัวแพะ ” ใกล้กับดาวอัลจีดี มีดาวสว่างอีกดวงหนึ่งมีชื่อเรียกว่าดาวเดบี (Debi) ที่ปลายอีกด้านหนึ่งของกลุ่มดาวราศีมกร ที่เป็นส่วน “หางแพะ” มีดาวสว่างอีกดวงหนึ่งชื่อ ดาวเดเนป อัลจีดี (Deneb Algegi) ดาวต่าง ๆ ในกลุ่มดาวราศีมกร เรียงตัวกันคล้ายรูปสามเหลี่ยมที่มีฐานโค้ง
เมื่อประมาณ 3,000 ปีก่อน จุดโวลสตีสฤดูหนาว (Winter Slostice) อยู่บริเวณกลุ่มดาวราศีมกรนี้ แม้ในปัจจุบันจุดโซลสตีสฤดูหนาวนี้ได้เลื่อนไปอยู่ในกลุ่มดาวราศีธนูแล้ว เนื่องจากผลการส่วนของแกนของโลก ดังนั้นเมื่อดางอาทิตย์เคลื่อนที่มาอยู่ในกลุ่มดาวราศีมกรในยุคนั้น ดวงอาทิตย์จะตรงศีรษะ ณ บริเวณเส้นละติจูดที่ 23.5 องศาใต้พอดี จึงเรียกตำแหน่งบนพื้นโลกบริเวณนั้นว่า “ ทรอปิก ออฟ แคปซิคอร์น (Tropic of Capricorn) ” ดวงอาทิตย์จะโคจรอยู่ในกลุ่มดาวราศีมกร ระหว่างกลางเดือนมกราคมถึงกลางเดือนกุมภาพันธ์
กลุ่มดาวราศีกุมภ์
ที่มาตามตำนานเทพนิยายกรีก
กลุ่มดาวราศีกุมภ์หรือดาวคนแบกหม้อน้ำ เป็นกลุ่มดาวกลุ่มที่ 11 ในกลุ่มดาว 12 ราศี เช่นเดียวกับกลุ่มดาวราศีมกร กลุ่มดาวราศีกุมภ์ไม่ค่อยมีดาวสว่างโดดเด่นที่เห็นได้ง่าย ตามตำนานในเทพนิยายกรีก คนแบกหม้อน้ำเป็นสัญลักษณ์แทนคนเลี้ยงแกะแห่งโทรจัน (Trojan) ที่ชื่อว่า แกนีมีด (Ganymede) ผู้ที่ถูกมหาเทพซีอุส (Zeus) ลงโทษให้เป็นคนแบกหม้อน้ำ สำหรับเทพเจ้าบนเขาโอลิมปัส ชาวบาบิโลเนียน ชาวอียิปต์ และชาวจีนในยุคโบราณ ถือว่ากลุ่มดาวราศีกุมภ์เป็นสัญลักษณ์แห่งน้ำ และกลุ่มดาวกลุ่มนี้อยู่ระหว่างกลุ่มดาวที่เป็นสัญลักษณ์ของสัตว์น้ำ 2 กลุ่มคือ กลุ่มดาวแพะทะเล และกลุ่มดาวปลารายละเอียดในกลุ่มดาว
ดาวฤกษ์ดวงที่สว่างที่สุดในกลุ่มดาวนี้ มีแมกนิจูดเพียง 3 กลุ่มดาว ราศีกุมภ์มี “เนบิวลาดาวเคราะห์ (Planetary Nebula)” ที่น่าสนใจ 2 ดวงคือ NGC7293 ที่รู้จักกันในนามของ “ เนบิวลาเกลียว (Helix Nebula) ” และ NGC 7009 ที่รู้จักกันในนามของ “ เนบิวลาดาวเสาร์ (Saturn Nebula) ” เนื่องจากเนบิวลาดาวเคราะห์นี้มีลักษณะคล้ายดาวเสาร์มาเมื่อมองผ่านกล้องดูดาว นอกจากนี้ในกลุ่มดาวราศีกุมภ์ยังมีกระจุกดาวทรงกลม M2 (NGC 7089) ที่มองเห็นได้โดยใช้กล้อง 2 ตา
ดวงอาทิตย์จะโคจรผ่านกลุ่มดาวราศีกุมภ์ ในช่วงระหว่างปลายเดือนกุมภาพันธ์ถึงต้นเดือนมีนาคม
กลุ่มดาวราศีมีน
ที่มาตามตำนานเทพนิยายกรีก
กลุ่มดาวราศีมีน หรือกลุ่มดาวปลา เป็นกลุ่มดาวกลุ่มสุดท้ายในกลุ่มดาว 12 ราศี กลุ่มดาวกลุ่มนี้ก็ไม่มีดาวฤกษ์ที่ปรากฎสว่างสะดุดตาเช่นกัน ในคืนเดือนมืดอาจเห็นกลุ่มดาวราศีมีนได้ง่ายขึ้น โดยดาวต่าง ๆ จะเรียงตัวกันเป็นเส้นยาวแยกออกไป 2 แนวคล้ายตัววี (V) ตามตำนานในเทพนิยายกรีกปลา 2 ตัวเป็นสัญลักษณ์ของร่างแปลงของเทพีวินัส (Venus) และลูกชายของนางคือ กามเทพ (Cupid) ซึ่งแปลงร่างเป็นปลาในขณะที่เดินเล่นอยู่ บริเวณฝั่งของแม่น้ำยูเฟรตีส (Euphrates) แล้วบังเอิญเจออสูรร้ายที่กำลังบุกรุกเข้ามารายละเอียดในกลุ่มดาว
ดาวฤกษ์ดวงที่สว่างที่สุดในกลุ่มดาวราศีมีนได้แก่ ดาวอัลฟา พิสเซียม (Alpha Piscium) ที่มีชื่อในภาษาอาหรับว่า ดาวอัลเรสชา (Alrescha) แปลว่า “เชือก” ดาวดวงนี้แท้จริงเป็นระบบดาวคู่แบบใกล้ชิด ซึ่งสมาชิกทั้ง 2 ดวงมีแมกนิจูด 4 และ 5 ตามลำดับ ดาวทั้ง 2 ดวงโคจรรอบกันคาบละประมาณ 900 ปี ดาวดวงนี้อยู่ตรงส่วน “ปมของเชือก” ที่ผู้ปลาทั้งสองไว้
ในปัจจุบัน จุดเวอร์นอล อิควินอกส์ อยู่ในกลุ่มดาวราศีมีนนี้ ซึ่งเดิมเมื่อหลายพันปีมาแล้ว จุดเวอร์นอล อิควินอกส์ อยู่ในกลุ่มดาวราศีเมษ แต่เนื่องจากผลการส่ายของแกนของโลก จุดเวอร์นอล อิควินอกซ์ จึงเลื่อนมาอยู่ในกลุ่มดาวราศีมีนในปัจจุบัน ดวงอาทิตย์จะโคจรผ่านกลุ่มดาวราศีมีน ระหว่างกลางเดือนมีนาคมถึงปลายเดือนเมษายน
วันจันทร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น