วันศุกร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

แตงโม

แตงโม ชื่อวิทยาศาสตร์: Citrullus lanatus เป็นผลไม้ที่มีน้ำประกอบอยู่เป็นจำนวนมาก เป็นพืชล้มลุกเป็นเถา อายุสั้น เถาจะเลื้อยไปตามพื้นดิน ถิ่นกำเนิดอยู่ในทะเลทรายคาลาฮารี ชาวอียิปต์เป็นชาติแรกที่ปลูกแตงโมไว้รับประทานเมื่อสี่พันปีมาแล้ว ชาวจีนเริ่มปลูกแตงโมที่ซินเกียงสมัยราชวงศ์ถัง แตงโมต้องการดินที่มีความชุ่มชื้นพอเหมาะ น้ำไม่ขัง มักปลูกกันในดินร่วนปนทราย ในประเทศไทยมีการปลูกแตงโมทั่วทุกภูมิภาค และปลูกได้ทุกฤดู
การใช้ประโยชน์
แตงโมเป็นผลไม้ที่มีคุณสมบัติเย็น จะช่วยลดอาการไข้ คอแห้ง บรรเทาแผลในปาก เปลือกแตงโมนำไปต้มเดือด แล้วเติมน้ำตาลทราย ดื่มเพื่อป้องกันเจ็บคอ
ถังดับเพลิง (Fire Extinguisher)
เครื่องดับเพลิงแต่ละประเภทขึ้นอยู่กับประเภทเพลิงที่เกิดขึ้น ดังนั้นเราต้องรู้ประเภทของเพลิงก่อนน่ะครับ
ประเภทเพลิง
เพลิงประเภท A คือ เพลิงที่เกิดจากเชื้อเพลิงธรรมดา เช่น ไม้ ผ้า กระดาษ พลาสติก ยางเป็นต้น
เพลิงประเภท B คือ เพลิงที่เกิดจากก๊าซของเหลวติดไฟ ไข และน้ำมันต่างๆ
เพลิงประเภท C คือ เพลิงที่เกิดกับอุปกรณ์ไฟฟ้า หรือวัตถุที่มีกระแสไฟฟ้า
เพลิงประเภท D คือ เพลิงที่เกิดจากสารเคมีที่ติดไฟได้
ทีนี้เราลองมาทำความรู้จักกับถังดับเพลิงแต่ละชนิดกันบ้างน่ะครับ
ชนิดของถังดับเพลิง
ถังดับเพลิงชนิดก๊าซคาร์บอนได้ออกไซด์
หรือ Co2ถังดับเพลิง ชนิด Co2 บรรจุถังสีแดง น้ำยาดับเพลิง เป็นน้ำแข็งแห้ง ที่บรรจุไว้ในถัง ที่ทนแรงดันสูง ประมาณ 1800 PSI ต่อตารางนิ้ว ที่ปลายสายฉีด จะมีลักษณะเป็นกระบอกหรือกรวย เวลาฉีด ลักษณะน้ำยาที่ออกมา จะเป็นหมอกหิมะ ที่ไล่ความร้อน และออกซิเจน เหมาะสำหรับใช้ภายในอาคาร ไฟที่เกิดจากแก๊ส น้ำมัน และไฟฟ้า เครื่องดับเพลิงชนิด Co2 มีหลายขนาดให้ท่านเลือกใช้ ได้ตามความต้องการ ตั้งแต่ 5 ปอนด์ 10 ปอนด์ และ 15 ปอนด์
ถังดับเพลิงชนิดน้ำยาเหลวระเหย บีซีเอฟ ฮาลอน1211 ถังดับเพลิงชนิดน้ำยาเหลวระเหย บีซีเอฟ ฮาล่อน 1211 บรรจุถังสีเหลือง ใช้ดับเพลิงได้ดีโดย คุณสมบัติของสารเคมีคือ มีความเย็นจัด และมีประสิทธิภาพ ทำลายออกซิเจนที่ทำให้ติดไฟ เครื่องดับเพลิง ชนิดฮาลอน เหมาะสำหรับใช้กับสถานที่ ที่ใช้อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์สื่อสาร ในอุตสาหกรรม อิเลคโทรนิกส์ เรือ เครื่องบิน และรถถัง น้ำยาชนิดนี้ ไม่ทิ้งคราบสกปรก หลังการดับเพลิงและสามารถใช้ได้หลายครั้ง ข้อเสียของน้ำยาดับเพลิงชนิดนี้คือ มีสาร CFC ที่ส่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อม เครื่องดับเพลิงฮาล่อน 1211 มีหลายขนาดให้ท่านเลือกใช้ได้ตามความต้องการ ตั้งแต่ 5 ปอนด์ 10 ปอนด์ และ 15 ปอนด์

ถังดับเพลิงชนิด BF 2000
ถังดับเพลิงชนิด BF 2000 บรรจุถังสีเขียว น้ำยาเป็นสารเหลวระเหยชนิด BF 2000 (FE 36) สำหรับเครื่องดับเพลิงชนิดหูหิ้ว น้ำยาดับเพลิงชนิดทดแทนนี้ ได้รับการยอมรับว่าไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ประสิทธิภาพ การทดสอบโดยใช้ cup-burn ชี้ให้เห็นว่าน้ำยา BF 2000 (FE 36) จะต้องมีความเข้มข้น อย่างน้อยร้อยละ 7.5 ในการใช้สารดับเพลิง ในการทดสอบแบบ scale-up ได้พิสูจน์ว่าน้ำยา BE 2000 (FE 36) สามารถใช้ได้กับไฟชนิด A B และC, BF 2000 (FE 36) ไม่แสดงปฎิกิริยากับวัสดุก่อสร้างโดยทั่วไป เช่น อลูมินั่มสตีล ทองแดง ในระดับอุณภูมิปกติ เครื่องดับเพลิงชนิด BF 2000 มีหลายขนาด ให้ท่านเลือกใช้ได ้ตามความต้องการ ตั้งแต่ 5 ปอนด์ 10 ปอนด์ และ 15 ปอนด์




วิธีการบำรุงดูแลรักษาถังดับเพลิง
ดูแลรักษาจากภายนอก ตรวจสอบสภาพของสายฉีด ไม่แตก หัก หรือรั่ว และตัวถังไม่ผุกร่อนขึ้นสนิม
ดูแลรักษาน้ำยาในถัง โดยหมั่นพลิกถังดับเพลิง กลับหัวลง เพื่อตรวจสอบว่า น้ำยาดับเพลิงในถังยังคงสภาพเดิม (เป็นของเหลว) ไม่จับตัวเป็นก้อนแข็ง
ดูแลแรงดัน ตรวจสอบความดันของถังดับเพลิงว่ายังอยู่ในช่วงที่กำหนด โดยดูจาก Gauge วัด โดยถ้าเข็มยังคงอยู่ในช่วงแถบสีเขียว แสดงว่า ถังดับเพลิงนั้นยังอยู่ในสภาพใช้การได้

วีรบุรุษเพอร์ซูส (กลุ่มดาวเปอร์ซิอัส, อันโดรมิดา, เซฟิอัส, แคสสิโอเพีย, เซตัส)

เพอร์ซูสเป็นวีรบุรุษที่สำคัญคนหนึ่งของกรีก เป็นหลานของ อกริเสียส กษัตริย์แห่งอาร์กอส พระองค์ไม่มีบุตรแต่มีธิดาอยู่องค์หนึ่งชื่อ แดเนอี แม้ว่านางจะงดงามแต่อกริเสียสก็ยังกลุ้มใจในเรื่องที่ไม่มีบุตรมาสืบทอดบัลลังค์ จึงไปขอคำพยากรณ์จากเทพอพอลโล ณ วิหารเดลฟี แต่คำพยากรณ์นั้นทำให้พระองค์ตกใจมากกว่าเดิม พระองค์นั้นจะไม่มีบุตรและจะตายด้วยบุตรของนางแดเนอี พระองค์จึงหาทางป้องกันไม่ให้ธิดามีบุตรโดยบังคับนางให้ไปอยู่บนหอคอยทองเหลือง แต่นางก็มีบุตรจนได้ซึ่งพ่อของเด็กก็คือจูปิเตอร์ บุตรของนางก็คือ เพอร์ซูส
อกริเสียสตกใจมากเมื่อรู้ว่ามีหลานชาย แต่ก็ไม่อาจสังหารลูกและหลานได้ จึงจับเอาไปปล่อยลงเรือให้ล่องลอยไปในทะเลโดยหวังจะให้ทั้งสองตายในทะเล เรือได้ลอยไปเรื่อยๆจนไปถึงเกาะเซอริฟัส ได้มีชาวประมงชื่อว่า ดิกทิส พาสองแม่ลูกไปถวายกษัตริย์ โพลิเดกทีส ผู้ครองเกาะ เพอร์ซูสได้รับการเลี้ยงดูอย่างดี จนโตเป็นหนุ่มที่มีควาสามารถ แต่กษัตริย์โพลิเดกทีสต้องการครอบครองมารดาของเขาจึงหาอุบาย โดยจัดงานเลี้ยงขึ้นแล้วบอกให้เพอร์ซูสว่าต้องการหัวของยักษ์ที่มีชื่อว่า มีดูสะ
เพอร์ซูสกับนางมีดูสะ
มีดูสะ เป็นยักษ์ตัวหนึ่งที่ชาวกรีกเรียกว่า กอร์กอนส์ โดยมีพี่สาว 2 คน คือ สธีโน และ ยูไรเอลิ ร่างของพวกนางมีเกร็ดแข็ง มีมือเป็นทองเหลืองและมีฟันแหลมยาว แต่นางมีดูสะมีเส้นผมเป็นงูด้วย ตาของพวกนางเมื่อจ้องอะไรก็จะกลายเป็นหินทันที อาศัยอยู่ที่เกาะแห่งหนึ่งทางตะวันสุดของโลก
จูปิเตอร์ได้ให้ เมอร์คิวรี มาช่วยลูกของตนเองโดยได้ช่วยบอกทางและให้ยืมรองเท้ามีปีกทำให้สามารถบินได้ เพอร์ซูสได้บินไปเกาะแห่งหนึ่งซึ่งเป็นที่อยู่ของ กรีอีที่รู้ที่อยู่ของมีดูสะ เพอร์ซูสได้บังคับให้พวกนางบอกทางและวิธีที่ตัดหัวของ มีดูสะ จากนั้นเขาก็ยืมหมวกสำหรับหายตัวจากพลูโต โล่จากมิเนอร์วาซึ่งใช้สำหรับป้องกันตัว และถุงวิเศษจากเฮสเพอริดีสเพื่อใส่หัวมีดูสะด้วย เมื่อได้เหาะไปถึงเกาะดังกล่าว เพอร์ซูสก็ใช้โล่ส่องดูนางกอร์กอนทั้งสาม แล้วบินลงไปฟันหัวของมีดูสะแล้วก็เหาะหนีทันที
เพอร์ซูสกับแอตลัส
เมื่อเขาได้หัวของ มีดูสะ แล้วก็ได้รีบกลับเกาะเซอริฟัสทันที แต่ก็มีเลือดของนางมีดูสะ หยดลงบนพื้นดินที่ลิเบียแล้วก็ได้กลายเป็นงูจำนวนมาก และเลือดอีกส่วนหนึ่งได้กลายเป็นม้ามีปีกชื่อ เพกกะสัส ซึ่งเหล่าบริวารของอพอลโลได้เลี้ยงไว้ที่เฮลลิกอน เมื่อได้เหาะไปสักพักก็เจอกับพายุจึงต้องเหาะลงบนพื้นก่อน ซึ่งบริเวณที่ลงคือ เฮสเพอเรียของ แอตลัส ยักษ์ที่แบกสวรรค์ไว้บนบ่า ที่อุทยานของแอตลัส มีต้นแอปเปิลทองคำอยู่ต้นหนึ่ง ซึ่งธีมิสพยากรณ์ว่าจะมีบุตรของจูปิเตอร์ มาขโมยแอปเปิลทองคำไป เมื่อเพอร์ซูสมาขอพัก แอตลัสจึงได้ไล่เขาไป แต่ก่อนไปเพอร์ซูส ได้เอาหัว มีดูสะให้แอตลัสดู จึงทำให้แอตลัสจึงกลายเป็นภูเขาขนาดใหญ่รองรับท้องฟ้าไว้จนถึงทุกวันนี้
เพอร์ซูสกับอันโดรมีดา
รุ่งขึ้น เพอร์ซูส ได้เหาะจากเฮสเพอเรียผ่านชายฝั่งของประเทศเอธิโอเปีย ได้มองเห็นหญิงสาวคนหนึ่งถูกล่ามโซ่กับโขดหิน จึงลงไปหาและถามนางว่าเป็นใคร นางได้บอกว่าชื่อ อันโดรมีดา เป็นธิดาของกษัตริย์ เซฟิอัส และนางแคสซิโอเปีย เนื่องจากมารดาของได้อวดว่าตนเองนั้นสวยกว่าเหล่านีเรียดแห่งท้องทะเล ทำให้เนปจูนเทพแห่งท้องทะเลโกรธจึงสั่งมังกรทะเลที่ชื่อว่า เซตุส มาลงโทษจับชาวเมืองไปกิน มีทางเดียวที่จะช่วยชาวเมืองได้คือต้องนำนางอันโดรมีดามาให้เซตุส แต่นางมีคู่หมั้นแล้วคือ ฟินนิอัส น้องชายของ เซฟิอัส แต่เขาก็ไม่ได้ช่วยนางเลย
พอเพอร์ซูส รู้เรื่องก็เข้าไปหา เซฟิอัส ที่อยู่ชายหาดบอกว่าถ้าช่วยนางได้ก็ขออภิเษกกับนาง และเซฟิอัสก็ได้ตกลง เขาจึงเหาะออกไปสังหารมังกรทะเลแล้วก็ช่วย อันโดรมีดา จากโขดหิน ก่อนที่ เพอร์ซูส จะวิวาห์เขาได้วางหัว มีดูสะ เอาไว้แล้วเอาสาหร่ายมาคลุมไว้ ทำให้สาหร่ายกลายเป็นหิน เหล่านางพรายเห็นว่าสนุกจึงเอาสาหร่ายมาทำให้กลายเป็นหินแล้วโยนลงทะเลเป็นจำนวนมากทำให้กลายเป็นเป็นปะการังมาจนทุกวันนี้ จากนั้น เพอร์ซูส ก็ทำพิธีบูชาเทพเจ้าก่อนที่จะแต่งงาน
ศึกชิงนางอันโครมีดา
ระหว่างงานวิวาห์ ฟินนิอัส นำกำลังทหารมาขอทวงนางอันโครมีดา คืน แต่ เซฟิอัส ไม่ยอมจึงเกิดการต่อสู้กันขึ้น เนื่องจาก เซฟิอัส และ เพอร์ซูส นั้นไม่ได้เตรียมจึงเสียเปรียบเกือบตายหลายครั้ง แต่ยังดีที่มี มิเนอวาร์ ช่วยไว้ พอจวนตัว เพอร์ซูส จึงเอาหัว มีดูสะ มาใช้ทำให้ข้าศึกกลายเป็นหินหมด ส่วน ฟินนิอัส ยังรอดอยู่และได้ร้องขอชีวิตต่อ เพอร์ซูส แต่เขาไม่ยอมและทำให้ ฟินนิอัสกลายเป็นหินไปในที่สุด
ความสมจริงของคำพยากรณ์
ที่เกาะเซอริฟัสทาง แดเนอี ยังถูกรบกวนโดย โพลิเดกทีส จนวันหนึ่งต้องหนีไปอยู่ที่วิหารของมิเนอร์วา เมื่อเรือของเพอร์ซูสกลับมาและรู้เรื่องที่เกิดขึ้นก็เอาของกำนัลไปให้ โพลิเดกทีส ซึ่งทำให้เขากลายเป็นหินในทันที และเพอร์ซูสได้แต่งตั้งให้ ดิกทิส เป็นกษัตริย์ครองเมือง ส่วนตัวเขากับอันโดรมีดาและมารดาได้เดินทางกลับไปหาตาคือ อกริเสียส แต่พออกรีเสียสรู้ข่าวก็รีบหลบไปอยู่ที่เมืองลาริสสะ
ขณะที่เมืองลาริสสะกำลังจัดงานศพของกษัตริย์องค์ก่อน และมีการจัดการแข่งขันกีฬาขึ้น เพอร์ซูสจึงแวะไปลงแข่งการขว้างจานเหล็ก ที่เรียกว่า ควอยต์ บังเอิญจานเหล็กที่ขว้างไปนั้นได้เข้าไปในหมู่คนดู และมีคนที่โดนจานเหล็กนี้ตายก็คือ อกริเสียส นั่นเอง บังลังค์ของเมืองอาร์กอสก็เป็นของเพอร์ซูส แต่เขาไม่ต้องการจึงไปสร้างเมืองใหม่ที่ชื่อว่า ไมซินี จนเมื่อเขาตายจึงได้เป็นกลุ่มดาวเพอร์ซูสที่ถือดาบและหัวของมีดูสะ ส่วนอันโดรมีดาก็ได้เป็นกลุ่มดาวหญิงสาวที่โดนล่ามโซ่ มารดาของ อันโครมีดา คือ แคสซิโอเปีย ก็กลายเป็นกลุ่มดาวที่คอยโคจรรอบดาวเหนือไม่เคยตกถึงพื้นซึ่งเป็นการลงโทษของเทพเจ้า นอกจากนั้นยังมีกลุ่มดาวเซฟิอัสและกลุ่มดาวเซตุสอยู่ ณ บริเวณนี้

กำเนิดเทพแบกคัส (กลุ่มดาวไฮยาดิส)

จูปิเตอร์แอบไปมีความสัมพันธ์กับนางสิมิลี โดยแปลงกายเป็นชายหนุ่มธรรมดาแล้วบอกว่าตนนั้นคือเทพจูปิเตอร์ เมื่อจูโนทราบเรื่อง นางก็แปลงกายมาเป็นพี่เลี้ยงแล้วก็บอกให้สิมิลีขอให้จูปิเตอร์แสดงตัวว่าเป็นเทพจริง เมื่อนางพบกับจูปิเตอร์อีกครั้งก็ขอให้พระองค์สาบานว่าจะให้สิ่งใดก็ตามที่นางขอมาข้อหนึ่ง เมื่อพระองค์สาบานแล้วนางก็ขอให้จูปิเตอร์แสดงตัวว่าเป็นเทพจริงๆ พอนางสิมิลีเห็นร่างจริงๆของจูปิเตอร์ ร่างของนางก็ถูกเผาไหม้ทันที ขณะนั้นนางกำลังตั้งครรภ์อยู่ จูปิเตอร์จึงเอาทารกนั้นออกมาให้เหล่าอัปสรที่ชื่อว่า ไฮยาดิส เป็นผู้เลี้ยงดู ซึ่งนางก็ดูแลทารกเป็นอย่างดี จนจูปิเตอร์โปรดให้เป็นกลุ่มดาว ไฮยาดิส
ทารกที่รอดชีวิตนั้นคือ แบกคัส หรือ ไดโอนิซุส เมื่อโตขึ้นมาต้องพบกับความยากลำบากเนื่องจากจูโนคอยที่จะกลั่นแกล้งอยู่ตลอดเหมือนกับเฮอร์คิวลิส หลังจากนั้นแบกคัสก็ได้เป็นเทพแห่งน้ำองุ่น ชาวกรีกส่วนมากจะนับถือเทพองค์นี้มาก

ออร์ฟิอัสกับยุริดดิซี (กลุ่มดาวพิณ)

พิณถือที่เรียกว่า ไลร์ เป็นผลงานการประดิษฐ์ของเมอร์คิวรีเทพแห่งการพณิชกรรม ออร์ฟิอัสเป็นมนุษย์คนหนึ่งที่เล่นพิณได้ใกล้เคียงกับเทพเจ้ามากที่สุด เสียงเพลงของเขาสามารถสยบสัตว์ร้ายต่างๆได้ ตอนที่เขาร่วมทางไปกับเจสันเพื่อไปเอาขนแกะทองคำนั้น เสียงพิณของเขาก็ช่วยให้ฝีพายมีแรงยามที่เหนื่อยล้าหรือช่วยให้จิตใจสงบลงเมื่อมีเรื่องทะเลาะกัน นอกจากนี้ยังสามารถกลบเสียงของนางไซเรนได้ทำให้ลูกเรือรอดตายจากเหล่านางพรายไซเรน
ออร์ฟิอัสเป็นบุตรของนางคัลลิโอพี เทวีประจำบทกวี อพอลโลได้ประทานพิณให้เขาเล่นมาแต่ยังเด็ก และเขาไม่ได้สนใจสิ่งอื่นเลยนอกจากการดีดพิณ แต่มีหญิงสาวอยู่นางหนึ่งที่สามารถเอาชนะใจของออร์ฟิอัสได้คือยุริดดิชีแล้วทั้งสองก็แต่งงานกัน
ขณะที่ทำการวิวาห์คบเพลิงของไฮเมนเทพแห่งการครองวิวาห์ก็เป็นควันแทนที่จะเป็นเปลวไฟลุกโชนซึ่งเป็นลางร้าย ไม่นานนักยุริดดิชีก็ถูกงูกัดตาย ออร์ฟิอัสเสียใจเป็นอย่างมากจึงบนบานขอให้เทพจูปิเตอร์ชุบชีวิตนางขึ้นมา แม้ว่าจูปิเตอร์จะสงสารเขามากแต่ก็ไม่อาจทำได้ จึงบอกให้เขาลงไปขอนางจากเทพพลูโตเองที่แดนบาดาลหรือนรก
เมื่อออร์ฟิอัสมาถึงแดนบาดาล มีหมาสามหัวที่ชื่อ เซอร์บิอัส คอยเฝ้าประตูอยู่ มันไม่ยอมให้ใครผ่านเข้าออก ออร์ฟิอัสจึงดีดพิณกล่อมจนมันหลับไป เขาจึงผ่านเข้าประตูเข้าไปได้ เสียงพิณของเขาดังเข้าไปถึงในนรกทำให้วิญญาณที่โดนทรมานลืมความเจ็บปวดไปได้ชั่วคราว
ออร์ฟิอัสเดินไปเรื่อยจนถึงที่ประทับของพลูโตกับเทวีพรอเสอะพิน เขาได้ทูลเทพพลูโตว่าต้องการวิญญาณของภรรยาคืน แล้วก็ดีดพิณซึ่งเป็นทำนองที่เศร้ามากจนพลูโตอนุญาตให้เขาพาภรรยากลับมาได้ แต่จะต้องไม่หันไปมองนางจนกว่าจะถึงพื้นโลก
ออร์ฟิอัสเดินนำวิญญาณของยูริดดิชีมาจนถึงประตู เมื่อเขาข้ามประตูออกมาแล้วก็หันหลังไปมองโดยลืมไปว่ายูริดดิชียังอยู่ข้างใน เขาจึงได้เห็นเพียงเงาลางๆของนางแล้วก็จางหายไป ออร์ฟิอัสเสียใจอย่างมากแต่ไม่อาจกลับขอนางกลับมาอีกครั้งได้ เขาเลิกสนใจทุกสิ่งแม้กระทั่งการเล่นพิณ จากนั้นเขาก็พเนจรไปเรื่อยๆ จนถูกหญิงบ้าฆ่าตาย วิญญาณของเขาจึงได้พบกับยูริดดิชีอีกครั้ง ศพของเขาฝังไว้ที่ตีนเขาโอลิมปัสที่นกไตเติงเกลร้องเพลงได้ไพเราะกว่าที่อื่น เทพเจ้าได้เอาพิณของเขาไปเป็นกลุ่มดาวไลรา เพื่อให้คนได้ระลึกถึงเสียงพิณและเรื่องที่น่าเศร้าของออร์ฟิอัส

เฟอิทอน (กลุ่มดาวหงส์)

เฟอิทอน(Phaeton)เป็นบุตรของอพอลโลกับนางไคลมินี(Clymene) แต่เขามักถูกเพื่อนล้อเรื่องที่เขาบอกว่าเป็นลูกของอพอลโลซึ่งเป็นเทพแห่งดวงอาทิตย์ เขาทั้งโกรธและอายจึงต้องหาหลักฐานมาพิสูจน์ เฟอิทอนจึงต้องไปหาบิดาตามที่มารดาบอก คือไปทางทิศตะวันออกเรื่อยๆจนถึงวังของอพอลโล เมื่อไปถึงอพอลโลก็เข้ามาคุยด้วยเพราะรู้ว่าเป็นลูกของตัวเอง เฟอิทอนต้องการหลักฐานพิสูจน์ว่าเขาเป็นลูกของอพอลโล โดยขอให้เขาได้ลองขี่รถพระอาทิตย์แทนบิดาหนึ่งวัน ซึ่งตอนแรกอพอลโลก็บ่ายเบี่ยงแต่ก็จำเป็นต้องยอม
เมื่อเฟอิทอนขึ้นบนรถม้า ตอนแรกเขาก็พยายามบังคับม้าตามที่พ่อสั่ง เพราะว่าม้าทั้ง 4 ตัวนั้นพยศมาก แต่สักพักเขาก็ลืมคำสั่งของบิดา บังคับม้าออกนอกเส้นทางทำให้ดาวต่างๆตกใจจนเข้ามาใกล้โลก ก็แผดเผาไปทุกสิ่งจนลำธารเหือดแห้ง แต่เมื่อเฟอิทอนรู้ว่าทำให้โลกโดนไหม้ก็บังคับม้าให้ออกห่างจากโลกทำให้โลกนั้นหนาวเย็นขึ้นมาทันที พืชและสัตว์ก็ได้รับความเดือดร้อนด้วย จนจูปิเตอร์ต้องใช้สายฟ้าฟาดโดนเฟอิทอนจนตายตกลงสู่แม่น้ำอีริดานัสทันที เฟอิทอนโดนสายฟ้าของจูปิเตอร์ตกลงสู่แม่น้ำ
เฟอิทอนมีพี่สาว 3 คน พวกนางพากันร่ำให้ที่แม่น้ำ จนเหล่าเทพสงสารแปลงแปลงให้พวกนางกลายเป็นต้นอำพัน น้ำตาที่ไหลออกก็กลายเป็นอำพัน เฟอิทอนมีเพื่อนสนิทคนหนึ่งชื่อ ซิกนัส(Cygnus) เขาได้ลงดำน้ำในแม่น้ำเพื่อหาศพของเฟอิทอน จนเทพเจ้าเกิดสงสารแปลงร่างของเขาเป็นหงส์ เพื่อให้ดำน้ำได้นานและก็ได้กลายเป็นกลุ่มดาวหงส์บนท้องฟ้า เพื่อระลึกถึงมิตรภาพระหว่างเพื่อน

เซนทอร์ (กลุ่มดาวเซนทอรัสและกลุ่มดาวแซจิทาริอัส)

เซนทอร์คืออมนุษย์ที่มีส่วนบนเป็นคนแต่ส่วนล่างเป็นม้า ส่วนมากอาศัยอยู่ตามภูเขาในแคว้นเธสสะลีของกรีซ สืบเชื้อสายมาจากเซนทอรัส(Centaurus) บุตรของอพอลโลกับนางสทิลเบีย(Stilbia)ซึ่งเป็นลูกสาวของพินูส(Peneus) โดยเซนทอรัสได้เสียกับนางม้าแห่งแมกนีเซีย จึงมีลูกเป็นเซนทอร์ แต่บางคนก็คิดว่าเซนทอร์คือคนธรรมที่ใช้ม้าเป็นพาหนะอาศัยอยู่ตามภูเขาในเธสสะลี เนื่องจากคนสมัยก่อนไม่ค่อยคุ้นเคยกับม้าจึงคิดว่าคนขี่ม้าเป็นพวกครึ่งคนครึ่งม้าก็เป็นได้
เซนทอร์ที่มีชื่อเสียงคือ ไครอน(Chiron) เป็นผู้ดูแลลูกของโครอนนิส(Coronis)กับอพอลโลมีชื่อว่าเอสคิวเลปิอัส ซึ่งเป็นเด็กที่เฉลียวฉลาดและเป็นที่รักของอาจารย์มาก เขาสามารถเรียนรู้ทุกอย่างที่อาจารย์สอนโดยเฉพาะอย่างการรักษาโรค ซึ่งเมื่อโตขึ้นเขาก็เป็นหมอคอยรักษาโรคให้คนทั่วไป
เอสคิวเลปิอัสสามารถรักษาโรคได้ทุกโรค ซึ่งบางโรคไครอนก็รักษาไม่ได้ ทำให้เขามีชื่อเสียงมาก มีอยู่ครั้งหนึ่งเขารักษาคนตายให้ฟื้นได้ ทำให้จูปิเตอร์เทพแห่งสวรรค์และพลูโตซึ่งเป็นเทพแห่งนรกไม่พอใจอย่างยิ่ง จูปิเตอร์จึงใช้สายฟ้าฟาดเขาจนตาย
ไครอนที่เป็นอาจารย์ของเอสคิวเลปิอัสมีความสามารถในหลายด้านทั้งวิชาด้านดนตรี, เภสัชกรรมวิทยาหรือการปรุงยารักษาโรคและการยิงธนู เป็นนับถือของชาวกรีกโบราณจำนวนมาก เขาเป็นผู้สอนให้มนุษย์นำพืชสมุนไพรมาใช้เป็นยารักษาโรค และยังเป็นอาจารย์ของวีรบุรุษคนสำคัญหลายคนเช่น อคิลิส, เฮอร์คิวลิส, เจสัน, พีลูสและอีเนียส ไครอนตายเพราะโดนธนูอาบยาพิษของเฮอร์คิวลิสขณะที่เขาตามล่าเซนทอร์พวกหนึ่ง แม้ไครอนเป็นหมอแต่ก็ไม่สามารถแก้ไขยาพิษนี้ได้ เนื่องจากไครอนนั้นเป็นอมตะจึงตายไม่ได้ แต่ก็ต้องทรมานเนื่องจากยาพิษ จึงต้องขอให้จูปิเตอร์ทำให้เขาตายและก็ได้เป็นกลุ่มดาวแซจิทาริอัสหรือราศีธนู ซึ่งเป็นกลุ่มดาวทางใต้และใจกลางทางช้างเผือกก็อยู่ในกลุ่มดาวนี้